ชี่กับพลังชีวิต ตอนที่ 3
เขียนและเรียบเรียงโดย ครูแม่ส้ม (สมพร อมรรัตนเสรีกุล)
ชี่ไม่ใช่แค่ลม
คำว่า“ชี่”แม้จะแปลว่า“ลม” แต่ก็ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่”ลม”หรือ”อากาศ”เท่านั้น ”ชี่”มีความหมายกว้าง ซึ่งครอบคลุมทุก ๆ พื้นที่ของชีวิตและจักรวาลเลยทีเดียว
“วัตถุและสิ่งไม่มีชีวิตมีชี่หรือไม่” การแพทย์จีนโบราณตอบว่า “มี” ชี่ของวัตถุมีลักษณะแตกต่างกับชี่ของสิ่งมีชีวิตตรงที่ ชี่ของวัตถุมีความหนัก ขุ่นมัว และมีพลังการขับเคลื่อนเลื่อนไหลต่ำ ส่วนชี่ของสิ่งมีชีวิต มีคุณสมบัติเบา สว่าง โปร่ง และมีพลังการขับเคลื่อนไหลเวียนมากกว่า
เทียบเคียงกับทางวิทยาศาสตร์ ชี่คือพลังของที่ว่างระหว่างอนุภาค เป็นพลังที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา การไหลเลื่อนเคลื่อนที่ของชี่ นอกจากจะไหลเวียนระหว่างอนุภาคภายในสสารนั้นเองแล้ว ยังไหลเลื่อนแลกเปลี่ยนกับชี่ของสสารอื่นอีกด้วย แต่เนื่องจากพลังชี่ของวัตถุมีความหนัก การแลกเปลี่ยนชี่ระหว่างวัตถุต่อวัตถุจึงน้อยกว่าระหว่างสิ่งมีชีวิตกับวัตถุ และสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตด้วยกัน ตัวอย่างเช่น เก้าอี้ตัวที่ตั้งโชว์อยู่ในร้านเฟอร์นิเจอร์เฉย ๆ ย่อมมีชี่น้อยกว่าเก้าอี้ตัวที่ถูกใช้งานแล้ว บ้านร้างย่อมมีพลังชี่หนักและขุ่นมัวกว่าบ้านที่มีคนอยู่อาศัย และบ้านที่สมาชิกในบ้านมีสุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี ย่อมจะมีพลังชี่ที่โปร่งเบาสว่างและไหลเลื่อนได้คล่องกว่าบ้านที่สมาชิกในบ้านเจ็บป่วยและเครียด ด้วยตรรกะของการแลกเปลี่ยนถ่ายเทชี่เช่นนี้ เครื่องรางของขลังหรือน้ำมนต์จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ หากได้รับการส่งผ่านชี่จากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีชี่แข็งแรงทรงพลังเพียงพอ
" ชี่"มีทั้งบวกและลบ
ชี่คือพลังชีวิต หรือจะเรียกให้ครอบคลุมก็พูดได้ว่า ชี่คือพลังจักรวาล สิ่งมีชีวิตยังชีพอยู่ได้เพราะพลังขับเคลื่อนและไหลเวียนของชี่ ทั้งที่ไหลเวียนภายในตัวเอง และไหลเวียนแลกเปลี่ยนกับชี่ภายนอก อันประกอบด้วย ชี่จากพลังงานธรรมชาติ และชี่จากสิ่งมีชีวิตอื่น ทั้งที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน สัตว์ต่าง ๆ และพืช
แม้จะพูดว่าชี่เป็นพลังที่สำคัญต่อชีวิต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชี่ที่ไหลเวียนอยู่รอบตัวเราเป็นชี่ที่เข้ากับเราได้เสมอไปหรือเป็นชี่ที่มีคุณประโยชน์ทั้งหมด พลังชี่มีลักษณะทั้งที่เป็นบวกและลบต่อกันและกัน หากจะพูดให้เหมาะสมและยุติธรรม เราคงไม่พูดว่าโลกนี้มีชี่ดีและชี่เลว แต่ควรพูดว่ารอบตัวเรามีชี่ที่เข้ากับเราได้ และชี่ที่เข้ากับเราไม่ได้จะดีกว่า
หากแบ่งชีวิตของเราออกเป็น 3 ภาคตามศาสตร์ชี่กง ได้แก่ ภาคร่างกาย ภาคอารมณ์จิตใจ และภาคจิตวิญญาณ ชี่ที่เข้ากับเราไม่ได้ทางกาย คือชี่ที่เราเรียกว่าเชื้อโรคและมลภาวะต่าง ๆ ชี่ที่เข้ากับเราไม่ได้ทางจิตใจ คือชี่อารมณ์ด้านลบทั้งที่เกิดขึ้นภายในตัวเราเอง และที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก ส่วนชี่ที่เข้ากับเราไม่ได้ทางจิตวิญญาณ หรือชี่ที่สกัดกั้นการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณ ก็คือพลังความคิดด้านลบและความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฐิ
ผลกระทบที่เลี่ยงไม่ได้
ชี่ของชีวิตทั้ง 3 ภาค ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงและส่งผลกระทบต่อกันและกันตลอดเวลา ส่วนหนึ่งถูกกระทบ อีกส่วนก็แสดงผล เมื่อกายถูกกระทบ ไม่ใช่เพียงร่างกายเท่านั้นที่แสดงผล แต่จิตใจและจิตวิญญาณก็ถูกกระทบและแสดงผลให้ประจักษ์ด้วย
ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ถ้าเราดื่มน้ำสะอาดไม่เพียงพอ หรือนั่งทำงานนานเกินไป (ลำตัวส่วนล่างไม่ได้เคลื่อนไหว) พฤติกรรมเล็กน้อยในชีวิตประจำวันที่ดูไม่น่าจะสำคัญอะไรมากเลยเช่นนี้ ก็สามารถก่อให้เกิดผลต่อไตได้ เพราะการดื่มน้ำน้อยเกินไปทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น เมื่อไตทำงานหนัก ชี่ที่ไตก็ลดจำนวนลง เมื่อชี่ไตพร่อง ไตจะไปดึงชี่จากอวัยวะอื่นที่ใกล้เคียง ทำให้ชี่ของอวัยวะอื่นลดลงไปด้วยอย่างเป็นลูกโซ่
และการนั่งในท่าเดิมนานเกินไป กล้ามเนื้อและอวัยวะบริเวณท้องน้อยไม่ถูกเคลื่อนไหว ทำให้การไหลเวียนของชี่และเลือดไม่คล่อง เมื่อชี่ไตไหลเวียนไม่สะดวก จะเกิดภาวะชี่ติดขัด ชี่ใหม่ไม่ถูกส่งไปชำระชี่เก่า ไตจะอ่อนแอ เมื่อไตอ่อนแอ กระบวนการสร้างสารจำเป็น (คนจีนเรียกว่าจิง : 精)ก็บกพร่อง สารจำเป็นหรือ”จิง”นี้ เทียบได้กับฮอร์โมน เป็นสารสร้างไขกระดูกเพื่อไปหล่อเลี้ยงซ่อมเสริมกระดูก เมื่อไตผลิตสารจำเป็นหรือ”จิง”ได้น้อย จึงส่งผลให้กระดูกและฟันไม่แข็งแรง ในผู้สูงอายุกระดูกจะเปราะบางหักง่าย ฟันโยกหลุดร่วงเร็ว
และเนื่องจากเส้นชี่ของไตเชื่อมกับประสาทหู ถ้าชี่ไตพร่อง อวัยวะในช่องหูจะอ่อนแอตามไปด้วย ทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัวตามมา
นอกจากนี้ไตยังมีปฏิสัมพันธ์กับอารมณ์กลัว ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ ๒ ทาง ทางหนึ่งเริ่มจากร่างกายไปสู่จิตใจ เมื่อชี่ไตพร่อง จะส่งผลให้อารมณ์ไม่มั่นคง เกิดความวิตกหวาดกลัวง่าย บางครั้งวิตกหวาดกลัวแม้ในเรื่องเล็ก ๆ หรือกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ในทางกลับกัน เริ่มจากจิตใจส่งผลสู่ร่างกาย เมื่อมีเรื่องกระทบอารมณ์ให้เกิดความวิตกหวาดกลัวขึ้นมา ชี่ไตจะถูกผลาญอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะชี่ไตพร่อง เมื่อไตอ่อนแอ ร่างกายส่วนอื่นก็ถูกกระทบไปเป็นลูกโซ่ด้วย
ศาสตร์ชี่กงโบราณของจีนถือว่าไตสัมพันธ์กับจุดมิ่งเหมิน จุดมิ่งเหมินนี้ตั้งอยู่ระหว่างไตทั้ง ๒ ข้าง คำว่า“มิ่งเหมิน” แปลว่า “ประตูแห่งชีวิต” เป็นจุดศูนย์รวมของชี่อิน(หยิน)และชี่หยาง ควบคุมการทำงานของอวัยวะหลายส่วน เช่น หัวใจ ไต ม้าม กระเพราะอาหาร และกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า แม้เพียงพฤติกรรมเล็ก ๆ ซึ่งผิดเพี้ยนไปจากความเป็นปกติตามธรรมชาติ เช่นดื่มน้ำน้อยเพราะไม่มีเวลา เพราะลืม หรือเพราะไม่อยากเข้าห้องน้ำบ่อย นั่งทำงานนานเพราะต้องการให้ได้งานมาก ๆ หรือนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เพลินจนลืมเวลา พฤติกรรมประเภทนี้มักเกิดขึ้นจนกลายเป็นความเคยชิน โดยเฉพาะคนทำงานสมัยใหม่ ความเคยชินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกละเลยเหล่านี้ สามารถส่งผลกระทบต่อประตูชีวิต(มิ่งเหมิน)ทั้งชีวิตได้เหมือนกัน
แต่ใช่ว่าคนสองคนซึ่งดื่มน้ำน้อยหรือนั่งทำงานในท่าเดิมนานๆ จะได้รับผลกระทบแบบเดียวกัน ดังที่เราต่างรู้กันอยู่แล้วว่า ความแข็งแรงของร่างกายเป็นปัจจัยหลักในการต้านทานโรค แต่ก็นั่นละ บ่อยครั้งที่คนซึ่งมีร่างกายแข็งแรงแต่เคร่งเครียด กลับเจ็บป่วยหรือติดเชื้อโรคได้ง่ายกว่าคนที่ดูบอบบางแต่ยิ้มแย้มแจ่มใส คนที่ใส่ใจเรื่องโภชนาการอย่างเคร่งครัดแต่ละเลยเรื่องสิ่งแวดล้อมและการหายใจ ก็อาจจะอ่อนแอกว่าชาวชนบทที่ไม่มีความรู้เรื่องโภชนาการแต่มีวิถีชีวิตเรียบง่าย
สุขภาพดีต้องมี "5 ประสาน"
ในตำราชี่กงจีนโบราณได้กล่าวถึงกระบวนการพื้นฐาน 5 ประการ ในการเข้าถึงความมีสุขภาพดีอย่างเป็นองค์รวม เรียกว่า “ 5 ประสาน” ตามแนวปรัชญาจีนโบราณ 5 ประสานนี้หมายถึงการที่ส่วนประกอบของชีวิตทั้ง 5 ส่วนสามารถประสานสอดคล้องกันและกันได้อย่างสมบูรณ์
มีอะไรบ้างที่ต้องประสานให้เข้ากันอย่างสมบูรณ์ 5 ประการ
1. ร่างกาย
2. ลมหายใจ
3. จิตอารมณ์
4. พลังชีวิต(ชี่)
5. จิตวิญญาณ
เจรจากับสหายทั้ง 5
ในความหมายของการปรัชญาจีนโบราณเกี่ยวกับสุขภาพองค์รวมจะเน้นที่การ"สื่อสาร"กับองค์ประกอบชีวิตทั้ง 5 ส่วนนี้ให้เข้าใจ จึงมีคำกล่าวว่า
“จงเจรจากับร่างกาย
พูดคุยกับลมหายใจ
สนทนากับจิต
ฟังเสียงของชี่
และสื่อสารกับจิตวิญญาณ
ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
จนสหายทั้ง 5 สามารถเข้าใจกันและกันอย่างแท้จริง”
ผู้ฝึกชี่กงและไท่จี๋ย่อมเข้าใจประเด็นนี้ดี การจะสื่อสารกับสหายทั้ง 5 ดังว่านี้ได้ ต้องอาศัยการรับรู้ที่ว่องไว ตื่นตัวแต่ผ่อนคลาย แต่จะมีการรับรู้ที่ว่องไว ตื่นตัวแต่ผ่อนคลายได้ ต้องอาศัยสติและสมาธิ อันเป็นเครื่องมือสื่อสารภายในที่สำคัญที่สุด
ดังนั้นการฝึกชี่กงและมวยจีน(ไท่จี๋)จึงเน้นการดำรงสติและสมาธิไว้ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถรับรู้และสื่อสารกับร่างกาย กับลมหายใจ กับอารมณ์ความรู้สึก กับการเคลื่อนไหวของชี่ และในระดับสูงกับสภาวะทางปัญญา(ซึ่งไม่ใช่ความคิด)
ความเป็นองค์รวมในทัศนะทางชี่กงนี้ สามารถตอบคำถามที่ว่า เหตุใดคนแต่ละคนจึงมีความต้านทานต่อโรคทางกาย โรคทางอารมณ์ โรคทางสังคม และโรคทางปัญญาในระดับที่แตกต่างกัน และแม้แต่ความเจ็บป่วยในตัวเราเอง บางครั้งก็ไม่สามารถโทษเชื้อโรคจากภายนอกหรือพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจงลงไปได้ เช่น เรามักโทษว่าคนนั้นคนนี้นำเชื้อหวัดมาแพร่ใส่เรา เราจึงเป็นหวัด หรือเพราะไปเดินตากฝน เราจึงเป็นไข้ หรือเพราะกินส้มตำจานนั้นแน่เทียว ท้องเราจึงเสีย การวิเคราะห์เช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการโยนความผิดไปให้ผู้อื่น
การโทษเหตุจากภายนอกอย่างเดียว จะไม่มีทางเยียวยารักษาหรือทำให้สุขภาพแข็งแรงอย่างยั่งยืนขึ้นมาได้ หากไม่พิจารณาถึงความโกรธ ความเศร้า ความกลัว และแม้แต่ความสนุกสุดเหวี่ยงในจิตใจของเรา ไม่สังเกตดูวิธีหายใจของตัวเอง หายใจลึกเพียงพอไหม หรือชอบกลั้นหายใจ หายใจสั้น หายใจถี่รัว หรือขี้เกียจหายใจบ่อย ๆ หรือเปล่า ไปจนถึงการรู้เท่าทันต่อความเชื่อและความศรัทธาหรือสิ่งยึดเหนี่ยวต่างๆว่าได้นำความสงบและสันติสุขมาสู่ตัวเราจริงหรือเปล่า หรือกลับนำความเกลียดชัง การแบ่งแยก และความรุนแรงมาสู่จิตใจของเรา
การพิจารณาเพื่อให้รู้เท่าทันความเป็นไปของสหายทั้ง 5 นี้ เรียกว่า “กังฟูแห่งการเฝ้าสังเกตภายใน”
.....................
ติดตามอ่านตอนที่ 4
Subscribe to:
Posts (Atom)